
ดูคาติไทยแลนด์ เขย่าวงการบิ๊กไบค์ เปิดตัว Multistrada 1260 Enduro
(มัลติสตราด้า 1260 เอ็นดูโร่ ), Hypermotard 950 (ไฮเปอร์โมตาร์ท 950), Panigale 959 Corse (พานิกาเล่ 959 คอร์เซ่) พร้อมสแครมเบลอร์ 4 เวอร์ชั่นใหม่ ทั้ง Scrambler Icon (สแครมเบลอร์ ไอค่อน), Scrambler Cafe’ Racer
(สแครมเบลอร์ คาเฟ่ เรเซอร์) ,Scrambler Desert Sled (สแครมเบลอร์ เดซเซิร์ท สเลด), Scrambler Full Throttle (สแครมเบลอร์ ฟูล โทรททัล)
ในงาน Motor Expo 2018

คุณอภิชาต ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด
หรือดูคาติไทยแลนด์ กล่าวถึงการนำรถโมเดลใหม่มาเปิดตัวในงาน
Moto Expo 2018 ว่า “หนึ่งในนโยบายการตลาดของดูคาติไทยแลนด์
คือการนำรถดูคาติรุ่นใหม่ๆ ที่มีความแตกต่างทางด้านสมรรถนะแบะคาแรกเตอร์การใช้งานมาเปิดตัวให้ลูกค้าในเมืองไทยได้เลือกสัมผัสอยู่เสมอ ซึ่งดูคาติไทยแลนด์ได้มีการนำรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทางบริษัทแม่ที่อิตาลีเพิ่งเปิดตัวในงาน EICAMA 2018 จำนวน 7 รุ่นมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
ซึ่งรถรุ่นใหม่ทั้ง 7 รุ่นนำมาโชว์
พร้อมทั้งมีแคมเปญพิเศษเฉพาะในงาน Moto Expo 2018 อาทิเช่น เลือกผ่อนดอกเบี้ย 0% สำหรับรุ่น Hypermotard, Multistrada และ Superbike นานสูงสุด 48 เดือน หรือแคมเปญเลือกรับ Ducati Cash Voucher สูงสุด 150,000 บาท พร้อมรับแคมเปญพิเศษดอกเบี้ย 3.49% สำหรับรถดูคาติทุกรุ่นที่จอง
ตั้งแต่วันนี้-10 ธ.ค. 61 ที่บูธดูคาติ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี”สำหรับรถดูคาติรุ่นใหม่ที่น้ำมาเปิดตัวในงาน Motor Expo 2018 มีดังนี้

1. Multistrada 1260 Enduro (มัลติสตราด้า 1260 เอ็นดูโร่)Multistrada 1260 Enduro (มัลติสตราด้า 1260 เอ็นดูโร่)Multistrada 1260 Enduro (มัลติสตราด้า 1260 เอ็นดูโร่) 2019 เครื่องยนต์ Testastrettla DVT ขนาด 1,262 ซีซี ที่สามารถเรียกแรงบิดได้ง่ายดายตั้งแต่รอบต่ำ โดยรีดแรงม้าสูงสุดได้ที่ 158 แรงม้าที่ 9,500 รอบต่อนาที และสร้างแรงบิดได้ 129.5 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบต่อนาที แต่สิ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ลูกนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์นั้นคือ การที่ได้แรงบิดอย่างโดดเด่นตั้งแต่ 3,500 รอบต่อนาที และดึงหนักต่อเนื่องไปจนถึง 7,000 รอบต่อนาที ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรอบเครื่องยนต์ที่ผู้ขับขี่ใช้ในระยะการเดินทางมากที่สุดนั้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 3,500-4,000 รอบต่อนาที ให้คุณเพลิดเพลินกับการขับขี่ไปกับระบบ Ducati Quick Shift (DQS) ทั้งเกียร์ขึ้นและลง มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ Bosch IMU 6 แกนเวอร์ชั่นล่าสุดสามารถสื่อสารกับระบบ Ducati Traction control (DTC) 8 ระดับ, Ducati wheelie cotrol (DWC) 8 ระดับ, ABS 3 ระดับได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบที่สุด รวมถึงสามารถปรับแต่งระบบช่วงล่าง Ducati Skyhook Suspension (DSS) ได้ถึง 400 รูปแบบ
ตอบสนองทุกการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด
โดยราคาจำหน่ายของ Multistrada 1260 Enduro สีแดงอยู่ที่ 1,099,000 บาท และ Multistrada 1260 Enduro สี Sand อยู่ที่ 1,109,000 บาท
2.Hypermotard 950 (ไฮเปอร์โมตาร์ท 950)
Hypermotard 950 (ไฮเปอร์โมตาร์ท 950) 2019 เพิ่มความดุดันด้วยไฟหน้าและ DRL ดีไซน์ใหม่ โดดเดนด้วยเฟรมถักจากเมนเฟรมต่อเนื่องมาจนถึงซับเฟรมใต้เบาะนั่งรับกับท่อไอเสียรูปแบบใหม่แบบคู่แยกออก 2 ด้าน เบาะนั่งถูกออกแบบให้มีความเพรียวกระชับยิ่งขึ้นรวมถึงตัวรถมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 4 กก. ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Testastretta 11 องศา ขนาด 937 ซีซี มาพร้อมพละกำลัง 114 แรงม้าที่ 9,000 รอบต่อนาทีและแรงบิด 95.6 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบต่อนาที ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้จะสามารถสัมผัสความแตกต่างของแรงบิดได้อย่างชัดเจนถึง 80% ตั้งแต่ที่ 3,000 รอบต่อนาที
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี 6-axis Bosch IMU ที่ช่วยควบคุม ABS Cornering Bosch EVO ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้เต็มประสิทธิภาพแม้ขณะอยู่ในโค้ง ไม่ว่าจะเป็นมุม Lean angle 44 องศา ซึ่งเป็นมุมที่รถนั้นจะทำมุมเอียงได้สูงสุด อีกทั้งยังมี Ducati Traction Contron (DTC) EVO, Ducati Wheelie Contron (DWC) EVO รวมถึงการเปลี่ยนใช้สายครัชท์ระบบไฮโดรลิกที่สามารถถ่ายทอดทุกกำลังได้อย่างครบถ้วนในระหว่างการเปลี่ยนเกียร์พร้อมหน้าจอสี TFT ขนาด 4.3 นิ้ว ซึ่งแจ้งข้อมูลการขับขี่ได้อย่างครบถ้วน
สำหรับราคาจำหน่ายอยู่ที่ 529,000 บาท

3. Panigale 959 Corse (พานิกาเล่ 959 คอร์เซ่)
Panigale 959 Corse (พานิกาเล่ 959 คอร์เซ่) 2019 ดีไซน์ใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ของรถแข่ง MotoGP มาพร้อมเครื่องยนต์ Superquadro
(ซูเปอร์ควอโด้) ขนาด 955 ซีซี ด้วยระบบสลิปเปอร์คลัชท์ พร้อมที่จะปลดปล่อยความรู้สึกได้อย่างชัดเจนทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนน พุ่งทะยานไปกับเฟรมแบบโมโนค็อค และช่วงล่างที่ปรับระดับได้อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงท่อไอเสียน้ำหนักเบาซึ่งผ่าน มาตรฐานค่าไอเสียระดับ Euro 4 ผสานกับเทคโนโลยี 3 โหมดการขับขี่ Race Mode, Sport Mode และ Wet Mode เพื่อให้ควบคุมตัวรถได้อย่างง่ายดายในทุกระดับความเร็ว โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 779,900 บาท


4. Scrambler Icon (สแครมเบลอร์ ไอค่อน)
Scrambler Icon (สแครมเบลอร์ ไอค่อน) 2019 ผสมผสานความดั้งเดิมและนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นเจเนอร์เรชั่นใหม่ที่มีความทันสมัยพร้อมมอบความมันส์แบบขีดสุดไปกับดินแดนแห่ง Land of Joy เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่มาพร้อมระบบ Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือ และได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น โดดเด่นด้วยล้อแมกซ์ลาย 10 ก้านที่เน้นรายละเอียดมากขึ้นรับกับเครื่องยนต์สีดำคัดขอบครีบด้วยอลูมิเนียมปัดเงา มั่นใจด้วยระบบ Dua-channel Bosch Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง โดย Scrambler Icon สีเหลือง ’62 Yellow ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 389,000 บาท และ Scrambler Icon สีส้ม Atomic Tangerine อยู่ที่ 395,000 บาท

5. Scrambler Café Racer (สแครมเบลอร์ คาเฟ่ เรเซอร์) Scrambler Café Racer (สแครมเบลอร์ คาเฟ่ เรเซอร์) 2019 ดีไซน์ “Silver Ice Matt” ใหม่
ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งในตำนาน 125 GP Desmo สะท้อนตัวตันอย่างชัดเจนด้วยการใส่ล้อซี่ลวด มาพร้อมเบาะสีใหม่รับกับเฟรมสีน้ำเงิน เพิ่มความมั่นใจในทุกๆ โค้งกับ Dual-channel Bosch Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง รวมถึงระบบ Ducati Multmeda System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน
ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความต่อเนื่องและแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังคงเอกลักษณ์ของ Dicati Scrambler Café Racer ด้วยหมายเลข 54 บนตัวรถที่รำลึกถึงหมายเลขรถแข่งของ Bruno Spaggiari (บรูโน่ สแป็กเจียรี่) นักแข่ง
ดูคาติในตำนานที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 470,000 บาท

6. Scrambler Desert Sled (สแครมเบลอร์ เดซเซิร์ท สเลด)
Scrambler Desert Sled (สแครมเบลอร์ เดซเซิร์ท สเลด) 2018 ดุดันไปกับไฟหนาพร้อมตะแกรงตามสไตล์เอ็นดูโร่ บังโคลนหน้าทรงสูง ปรับตำแหน่งบังโคลนหลังและ ตัวยึดป้ายทะเบียนให้พร้อมลุยในทุกเส้นทาง โช้คอัพหน้า Kayaba ขนาด 46 มม. ระยะยุบ 200 มม. ปรับตั้งได้ตามต้องการเบาะนั่งดีไซน์ใหม่คล่องตัว อีกทั้งยังมี Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์มีความแตกต่างและต่อเนื่องแม่นยำมากขึ้น มั่นใจทุกครั้งใช้เบรกด้วยระบบ Cornering ABS ที่จะทำให้ผู้ขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็ทประสิทธิภาพขณะอยาในโค้งโดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 480,000 บาท

7. Scrambler Full Throttle (สแครมเบลอร์ ฟูล โทรททัล)
Scrambler Full Throttle (สแครมเบลอร์ ฟูล โทรททัล) 2019 ดีไซน์ถังน้ำมันสีดำ-เหลืองคาดขาว และแพลตใส่หมายเลขด้านข้างสะท้อนเอกลักษณ์ของการแข่งขันที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนักแต่งรถสไตล์เม็กซิกันและ Super Hooligan Championship Star คือ Frankie Garcia สำหรับ Scrambler Full Throttle ใหม่จะทำให้คุณรู้สึกถึงตำนานแห่ง Dirty Track ดุดันด้วยเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ให้ความรู้สึกกระชับในการขับขี่ ล้อแมกซ์ลาย 10 ก้านที่เน้นรายละเอียดมากขึ้น รวมถึงระบบ Ducati Multimedia System (ready) เชื่อมต่อรถและโทรศัพท์มอบความสะดวกสบายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลตำแหน่งเกียร์,ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือและได้เปลี่ยนระบบคลัชท์จากคลัชท์สายมาเป็นคลัชท์น้ำมัน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เบรกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพขณะอยู่ในโค้ง โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 440,000 บาท